คติการสร้างเรือน “ปลูกเฮือนคนอีสาน”

คติการสร้างเรือน “ปลูกเฮือนคนอีสาน”
ผู้ศึกษา                    นางสาวรุ่งรัตน์      สมอคำ                             รหัสนักศึกษา 55811001026        

บทคัดย่อ
                การศึกษา คติการสร้างเรือน ปลูกเฮือนคนอีสาน ซึ่งมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความคิด ความเชื่อ เรื่องปลูกบ้านปลูกเรือน ของคนชาวอีสาน
                วิธีการศึกษา ใช้วิธีศึกษาแบบเชิงคุณภาพ ซึ่งมีขอบเขตการศึกษา ได้แก่ ความเชื่อเกี่ยวพื้นที่ที่ใช้ในการปลูกบ้าน วันเวลา ความเหมาะสมในหลายๆด้าน พื้นที่ในการศึกษาข้อมูล คือ บ้านหนองแวง หมู่ที่ 1 ตำบลหนองแวง อำเภอกุดรัง จังหวัดมหาสารคาม ผู้ให้ข้อมูล คือ ชาวบ้านในหมู่บ้าน และชาวบ้านที่มีความเชื่อเกี่ยวกับการปลูกบ้านปลูกเรือนที่เหมาะสมย่อมทำให้ชีวิตมีความก้าวหน้า อยู่เย็นเป็นสุข จำนวน 4 คน ใช้ระยะเวลาในการศึกษา 1 เดือน  
                ผลการศึกษาในครั้งนี้พบว่า ความคิด ความเชื่อ เรื่องคติการสร้างเรือน คือ ในการสร้างเรือนนั้นชาวอีสานได้มีการดูความเหมาะสมของบริบทรอบ ๆ พื้นที่ เช่นเลือกสถานที่ที่ปลอดโปร่ง ไม่มีหลุมไม่มีบ่อ ไม่มีจอมปลวก ไม่มีหลุมผี ไม่มีตอไม้ใหญ่ เป็นต้น นอกจากนี้ในการ พิจารณาสภาพพื้นที่สร้างเรือนยังยังพิจารณาจากการชิมรสของดิน โดยเชื่อว่ารสของดิน ดินที่เหมาะสมที่สุด คือ ดินรสจืด และดินที่มีกลิ่นหอม ทว่าชาวอีสานยังให้ความสำคัญ ต่อการถือฤกษ์ยามในการสร้างเรือนตามฤกษ์เดือนและฤกษ์วัน ความเชื่อในการเลือกเสาเรือน โดยเฉพาะการเลือกเสาแฮก (เสาเอก) และเสาขวัญ (เสาโท) การเลือกไม้สำหรับใช้ทำเสาเรือน การขุดหลุมเสาเรือน การเลือกไม้สำหรับใช้ทำส่วนประกอบของเรือน ฯลฯ เพื่อความเป็นมงคลต่อชีวิตเป็นคติความเชื่อต่อการสร้างเรือน ของชาวอีสานที่ยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดต่อกันมา

คำสำคัญ  ความคิด, ความเชื่อ, เฮือน, เรือน, เสาเอก , เสาโท

                                                      

บทนำ
                การสร้างบ้านของชุมชนในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่สมัยโบราณมักเลือกทำเล ที่ตั้งอยู่ตามที่ราบลุ่มที่มีแม่สำคัญ ๆ ไหลผ่าน เช่น แม่น้ำโขง แม่น้ำมูล แม่น้ำชี แม่น้ำสงคราม ฯลฯ รวมทั้งอาศัยอยู่ตามริมหนองบึง ถ้าตอนใดน้ำท่วมถึงก็จะขยับไปตั้งอยู่บนโคกหรือเนินสูง ดังนั้นชื่อหมู่บ้านในภาคอีสานจึงมักข้นต้นด้วยคำว่า "โคก โนน หนอง" เป็นส่วนใหญ่
ลักษณะหมู่บ้านทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสานนั้นมักจะอยู่รวมกัน เป็นกระจุก ส่วนที่ตั้งบ้านเรือนตามทางยาวของลำน้ำนั้นมีน้อย ผิดกับทางภาคกลางที่มักตั้งบ้านเรือนตามทางยาว ทั้งนี้เพราะมีแม่น้ำลำคลองมากกว่า
หนุ่มสาวชาวอีสานเมื่อแต่งงานกันแล้ว ตามปกติฝ่ายชายจะต้องไปอยู่บ้านพ่อตาแม่ยาย ต่อเมื่อมีลูกจึงขยับขยายไปอยู่ที่ใหม่เรียกว่า "ออกเฮือน" แล้ว หักล้างถางพงหาที่ทำนา ดังนั้น ที่นาของคนชั้นลูกชั้นหลานจึงมักไกลออกจากหมู่บ้านไปทุกที และเมื่อบริเวณเหมาะสมจะทำนาหมดไป เพราะพื้นที่ราบที่มีแหล่งน้ำจำกัด คนอีสานชั้นลูกหลานก็มักชวนกันไปตั้งบ้านใหม่อีก หรือถ้าที่ราบในการทำนาบริเวณใดกว้างไกลไปมาลำบาก ก็จะชักชวนกันไปตั้งบ้านใหม่ใกล้เคียงกับนาของตน ทำให้เกิดการขยายตัวกลายเป็นหมู่บ้านขึ้น
                ในการปลูกบ้านสร้างเรือนแต่ละครั้งคนชาวอีสานมีการดูฤกษ์ยาม ดูบริบทโดยรอบ เลือกไม้ในการสร้างบ้านโดยชาวอีสานจะยึดถือดังนี้
                การถือฤกษ์ยามในการปลูกเรือน ในเดือนยี่ เดือนสี่ เดือนหก เดือนเก้า เดือนสิบสอง   ถือเป็นฤกษ์ที่ดีในการปลูกเรือน โดยเฉพาะในเดือนหกและเดือนเก้า

ทำเลการปลูกเรือน   ทำเลที่เหมาะในการปลูกเรือน  เช่น รูปดวงจันทร์รูปมะนาวตัดรูปเรือ
สำเภาและรูปสี่เหลี่ยมคางหมู เป็นความเชื่อสำหรับผู้ครองเรือนในทุกภูมิภาคเพื่อให้เกิดความเป็นสิริ
มงคลต่อผู้อยู่อาศัย ในภาคอีสานก็เช่นเดียวกันหากจะมีคติความเชื่อในเรื่องทิศและชัยภูมิที่ดินเพิ่มเติม
คือหากเป็นแผ่นดินที่สูงทางใต้ ต่ำทางเหนือ เป็นที่ ไชยะ แผ่นดินที่สูงทางตะวันตก ต่ำทางตะวันออก
เป็นที่ยะสะศรี แผ่นดินที่สูงทางพายัพ ต่ำทางทักษิณ เป็นที่ สะศรี ถือว่าเป็นทำเลที่ดี
เลือกเสาเรือน   การเลือกไม้ทำเสาเรือนในภาคอีสานเป้นความสำคัญอันดับแรกเช่นเดียวกับ
ภาคอื่นลักษณะของเสาเรือนที่ดี สำหรับคนอีสาน เชื่อว่าควรคัดเสาต้นตรง 4 ประเภท คือต้นเสากลาง
เสาและปลายเสาขนาดเท่ากันต้นเสาใหญ่ ปลายเสาเล็ก เป็นเสาตัวเมียดี ต้นเสาเล็กปลายเสาใหญ่กลาง
เสาเล็กไม่ดีเสาอมเปลือกเสาอมเปลือก เสาคด เสาเป็นตาเป็นรอยไม่ดี
"เสาแฮก"  หรือเสาแรกซึ่งเป็นเสาสำคัญในการปลูกเรือนให้เลือกไม้ซึ่งเกิดในที่ราบเรียบใบ
ไม่ระเกะระกะกับต้นอื่นลำต้นปลอดเกลี้ยงใบดกมองดูคล้ายพระภิกษุยืนกางกลดกิ่งใบไม่เหี่ยวแห้งมี
นกหนูและมดดำแดงอาศัยอยู่มาก ควรนำมาทำเสาแรกเจ้าของเรือนจะอุดมสมบูรณ์ด้วยข้าวของเงินทอง
"เสาขวัญ" เสาสำคัญอันดับรอง ให้เลือกไม้ที่เกิดบนดินแล้วลาดต่ำลงมา ซึ่งมีลำต้นสูงกว่าต้น
อื่น ๆ กิ่งใบไม่เหี่ยวแห้ง เวลาสงัดไม่มีลมจะมีใบหนึ่งไหวติงอยู่ไม่ขาดระยะไม้ต้นนี้เมื่อเลือกมาทำเป็นเสาขวัญเจ้าของเรือนจะมั่งคั่งมั่งมี
                ปัจจุบันเมื่อค่านิยมสมัยใหม่เข้า กระแสโลกาภิวัฒน์ เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้ความเป็นอยู่ของคนอีสานรวมไปถึงการปลูกบ้านคติความเชื่อที่เคยปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัด ถูกมองว่าเสียเวลา และเริ่มที่จะถูกเลือนหายไป
                ดังนั้นแล้วความเชื่อเหล่านี้จึงมีความน่าสนใจ ควรค่าแก่การศึกษา ควรค่าแก่การอนุรักษ์ให้แก่คนรุ่นต่อ ๆ ไปปฏิบัติตาม จึงเป็นเหตุที่สำคัญที่จะได้ศึกษา
1. หลักการและเหตุผล
                การจัดพิธีกรรมในสมัยโบราณ นิยมกระทำตามความเชื่อ โดยมีความเชื่อว่า หากกระทำถูกต้องแล้วจะนำความสุขและความเป็นสิริมงคลมาให้แก่ตนเองครอบครัว และวงศ์ตระกูลปัจจุบันยังคงยึดถือสืบทอดต่อ ๆ กันมา และเป็นการยังเชื่อมโยงในเรื่องความเชื่อของคนในชาติที่มีความหลากหลายผสมผสานกัน พิธีกรรมที่คนไทยยึดถือปฏิบัติในโอกาสต่าง ๆ นั้นบางอย่างเป็นความเชื่อดั้งเดิม ของท้องถิ่น บางอย่างเป็นความเชื่อเนื่องมาจากหลักปฏิบัติทางศาสนา ไม่ว่าจะเป็นศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู หรือศาสนาอื่น ๆ         
                 “เรือนอีสานเป็นสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่าทางวัฒนธรรมเรือนอีสานในอดีตเป็นสิ่งปลูกสร้างที่แสดงให้เห็นความ สัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรมของชาวอีสาน ซึ่งในแต่ละพื้นที่แต่ละกลุ่มคนต่างมีรูปแบบ วิธีการในการสร้างที่อยู่อาศัยที่ แตกต่างกันไปตามลักษณะของกลุ่มวัฒนธรรมฐานทรัพยากร เช่น ป่าไม้ แหล่งน้ำ สภาพภูมิประเทศ เช่น ภูเขา ที่ราบลุ่ม ที่ราบสูง สภาพภูมิอากาศ         เช่น เขตร้อน เขตหนาว และความสอดคล้องกับ การดำเนินชีวิตที่สัมพันธ์กับสังคมทรัพยากรธรรมชาติ  (นครินทร์ ทาโยธี. 2554 : 8)
                บ้านเป็นที่อยู่อาศัยประจำ     แม้เราจะไปทำงานที่ไหนก็ตามเราจะต้องกลับบ้านแต่ถ้าปลูกบ้านไม่ถูกโฉลกแล้วความทุกข์ความเดือดร้อนก็จะเกิดขึ้นแก่เราเพื่อความเป็นสิริมงคล จึงต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามพิธีกรรม

2. วัตถุประสงค์
                เพื่อศึกษาความคิด ความเชื่อ เรื่องปลูกบ้านปลูกเรือน ของคนชาวอีสาน
3. ฐานคิด/มุมมอง
                3.1 แนวคิดเกี่ยวกับ ความเชื่อ
                ความเชื่อ เป็นส่วนหนึ่งแห่งวิถีชีวิตของคนในสังคมไทยซึ่งมีความสำคัญอย่างมาก ที่ก่อให้เกิดอิทธิพลต่อจิตใจที่มีผลต่อพฤติกรรมในสังคม กล่าวคือ ความเชื่อที่มีอิทธิพลต่อสังคม ได้แก่ ความเชื่อเกี่ยวกับ ผีป่าผีบ้าน ผีแถน เทพเทวาอารักษ์ ผู้คุ้มครองสังคม ความเชื่อนี้มีผลทำให้จารีตประเพณีมีความมั่นคง และส่งผลให้การทำลายป่า การทำลายสิ่งแวดล้อม และการประพฤติผิดจารีตต่างๆ ลดน้อยลง แต่ในปัจจุบัน แม้มีการอธิบายถึงผลดีผลเสียของการทำลายและการทำผิดต่างๆ ก็ยังพบว่าผู้ที่เข้าใจเหตุและผลตามหลักวิทยาศาสตร์มากมายยังคงทำความผิดครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งนี้เพราะเราขาดมาตรการการควบคุมทางจิตใจ เช่น ในอดีตความเชื่อเกิดจากมนุษย์มีส่วนสัมพันธ์กับธรรมชาติ เมื่อธรรมชาติได้ทำลายชีวิตและทรัพย์สิน ทำให้มนุษย์เกิดความคิดว่าในธรรมชาตินั้นต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลังที่สามารถบันดาล ทั้งคุณและโทษแก้ตนได้ แต่ไม่สามารถจะหาเหตุผลมาอธิบายแนวคิดนี้ได้ มนุษย์จึงได้จิตนาการต่างๆ นานา และพยายามหาเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจ โดยแสดงพฤติกรรมต่างๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับความเชื่อนั้นๆ และความเชื่อดังกล่าวได้สืบทอดต่อมาจากบรรพบุรุษ ถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ( การศึกษา การปรับใช้พิธีกรรม และความเชื่อของชุมชน ในการจัดการป่าชุมชน กรณีศึกษา ป่าชุมชนบ้านตลาดขี้เหล็ก ตำบลแม่โป่ง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ อ้างถึงใน ฐาปณี เรียบเรียง, 2549 )
                3.1.2 ความหมายของความเชื่อ
          คำว่า ความเชื่อมีความหมายอยู่หลายความหมาย นักวิชาการและผู้รู้ได้ให้ความหมายของความเชื่อไว้ในแง่มุมต่างๆ ดังนี้
                ความเชื่อ คือ การยอมรับว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นความจริงหรือเป็นสิ่งที่เราไว้ใจ ความจริงหรือความไว้วางใจที่เป็นรูปของความเชื่อนั้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นความจริงที่ตรงตามหลักเหตุผลหรือหลักวิทยาศาสตร์ใดๆ คนที่เชื่อในฤกษ์ยามก็จะถือว่า วันเวลาการโคจรของดวงดาวจะก่อให้เกิดผลต่อตัวมนุษย์ คนที่เชื่อเครื่องรางของขลังก็จะมีความยึดมั่นว่า เครื่องรางของขลังให้คุณให้โทษแก่ตนได้จริง ตัวอย่างของความเชื่อ ได้แก่ ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ โชคลาง ของขลัง ผีสาง นางไม้ ความเชื่ออำนาจลึกลับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เหล่านี้เป็นต้น
                ธวัช ปุณโณทก ได้กล่าวถึงความเชื่อไว้ว่า ความเชื่อ คือ การยอมรับอันเกิดอยู่ในจิตสำนึกของมนุษย์ต่อพลังอำนาจเหนือธรรมชาติ ที่เป็นผลดีหรือผลร้ายต่อมนุษย์นั้นๆ หรือสังคมมนุษย์นั้นๆ แม้ว่าพลังอำนาจเหนือธรรมชาติเหล่านั้น ไม่สามารถที่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริง แต่มนุษย์ในสังคมหนึ่งยอมรับและให้ความเคารพเกรงกลัวสิ่งเหล่านี้ เรียกว่าความเชื่อ ฉะนั้นความเชื่อจึงมีขอบเขตกว้างขวางมาก ไม่เพียงแต่จะหมายถึงความเชื่อในดวงวิญญาณทั้งหลาย (belief in spiritual beings) ภูตผี คาถาอาคม โชคลาง ไสยเวทต่างๆ ยังรวมถึงปรากฏการณ์ธรรมชาติที่มนุษย์ยอมรับนับถือ เช่น ต้นไม้ (ต้นโพธิ์ ต้นไทร) ป่าเขา เป็นต้น
                ความเชื่อ หมายถึง เห็นตามด้วย มั่นใจ ไว้ใจ นับถือ  และในลักษณะคล้ายกันนี้ มานิต มานิตเจริญ กล่าวว่าความเชื่อหมายถึง เห็นจริงด้วย วางใจ ไว้ใจ มั่นใจ และนับถือ
                อนึ่ง พจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยา อังกฤษ ไทย  ให้ความหมายเกี่ยวกับความเชื่อไว้ 2 นัยด้วยกันคือ
                1. การยอมรับข้อเสนอข้อใดข้อหนึ่งได้ว่าเป็นความจริง การยอมรับเช่นนี้โดยสารัตถะสำคัญแล้วเป็นการรับเชิงพุทธิปัญญา แม้ว่าจะมีอารมณ์สะเทือนใจเข้ามาประกอบร่วมด้วย ความเชื่อจะก่อให้เกิดภาวะทางจิตขึ้นในบุคคลซึ่งอาจจะเป็นพื้นฐาน สำหรับการกระทำโดยสมัครใจของบุคคลนั้น
                ความเชื่อ อาจจะมีพื้นฐานจากหลักฐานข้อเท็จจริงที่เชื่อได้หรือมีพื้นฐานจากความเดียดฉันท์จากการนึกรู้เอาเอง หรือจากลักษณะที่ทำให้เกิดความเข้าใจไขว้เขวก็ได้ เพราะฉะนั้น ความเชื่อจึงมิได้ขึ้นอยู่กับความจริงเชิงวัตถุวิสัยในเนื้อหาความเชื่อแปลกวิตถารก็ได้ คนเราอาจจะกระทำการอย่างแข็งขันจริงจัง หรืออย่างบ้าคลั่งด้วยความเชื่อที่ผิดได้เท่าๆ กับที่ทำด้วยความเชื่อที่ถูกต้อง อย่างไรก็ดี การทำที่ใช้สติปัญญาใดๆ ก็ตาม ย่อมต้องอาศัยความเชื่ออยู่ด้วยเสมอ แต่สติปัญญาเองนั้นอาจใช้มาทดสอบความเชื่อและตรวจดูความสมบูรณ์ถูกต้องพื้นฐานความเชื่อนั้นได้
                2. การยอมรับข้อเสนอข้อใดข้อหนึ่งว่า เป็นจริงโดยที่ยังมิได้พิสูจน์ได้โดยวิธีการของวิทยาศาสตร์
จากคำจำกัดความต่างๆ ข้างต้น จึงพอสรุปความหมายของความเชื่อไว้ว่า ความเชื่อหมายถึง การยอมรับต่างๆ ว่าเป็นจริง มีอยู่จริง และมีอำนาจที่จะบันดาลให้เกิดผลดีหรือผลร้ายต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ถึงแม้ว่าสิ่งนั้นจะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริงด้วยเหตุผล แต่เป็นที่ยอมรับกันในกลุ่มชนหรือสังคม


                3.1.3 อิทธิพลของความเชื่อ 
                นักสังคมวิทยาชาวอเมริกันคนหนึ่งงชื่อ W.L Thomas ( อ้างใน สัญญา สัญญาวิวัฒน์, -- : 111 – 116) ได้กล่าวว่า หากบุคคลกำหนด (เชื่อ) ว่า
5 สถานการณ์หนึ่งใดเป็นความจริง มันก็จะเป็นจริง ตามนั้นหมายความว่า ใครเชื่อว่าสิ่งใดหรือใคร รวมทั้งตัวเองเป็นอย่างไร ผลมันก็จะเป็นอย่างนั้น เช่น เชื่อว่าเพื่อนเป็นมิตรหรือศัตรูของตน เพื่อนก็ จะเป็นมิตรหรือศตรูตามความเชื่อนั้น เชื่อว่าครูมี ความรู้ นักเรียนก็จะได้ความรู้จากครูหรือแม้เชื่อว่า ตัวเองเก่งมีความรู้ความสามารถ ก็จะเก่งมีความรู้ ความสามารถสมจริงตามนั้น จึงมีอิทธิพลต่อมนุษย์ ทา ให้มีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์
                3.2.ทฤษฎีแพร่กระจาย (Diffusion Theory)
                ของคาล โครน (Kaarle krohn) นักคติชนวิทยา ชาว ฟินแลนด์และสติธ ทอมป์สัน (Stith  Thompson)  ได้สรุปสาระสำคัญของทฤษฎีการแพร่กระจาย คือ เกิดจากการเล่านิทานสืบต่อกันมา โดยกล่าวว่า นิทานน่าจะเกิดขึ้นจากที่ใดที่หนึ่งก่อนแล้วก็ แพร่กระจายไปสู่แหล่งอื่นๆ ประเพณี การเล่านิทาน เป็นสิ่งที่ปรากฏในทุกสังคม แต่ละสังคมต่างก็มี วิธีการอนุรักษ์นิทาน บางสังคมอนุรักษ์นิทานด้วย การเล่าสืบต่อกันมา บางสงคมอนุรักษ์ด้วยการ บันทึกเป็นลายลักษณ์ ในสังคมที่ถ่ายทอดการเล่า นิทานสืบต่อกันมา หากปราศจากผู้รับช่วงสืบทอด กันมาและไมมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเก็บ ไว้นับวันที่จะค่อยๆ หมดไปจากสังคมนั้นๆ (จารุ วรรณ ธรรมวัตร. 2530 : 20 65 ; อ้างใน วิจัยเรื่อง วัฒนาการของประเพณีการแห่ปราสาทผึ้ง จังหวัด สกลนคร : 15 ) 


4. วิธีการเก็บข้อมูล
                4.1 พื้นที่ในการดำเนินงาน
                                พื้นที่ในการศึกษาข้อมูล คือ บ้านหนองแวง ตำบลหนองแวง อำเภอกุดรัง
จังหวัดมหาสารคาม

                4.2 กลุ่มเป้าหมายและผู้ให้ข้อมูล
                                ชาวบ้านในบ้านหนองแวง หมู่ที่ 1 ตำบลหนองแวง อำเภอกุดรัง จังหวัดมหาสารคาม จำนวน 4 คน ซึ่งประกอบด้วย
                                ชาวบ้านที่มีคติความเชื่อเกี่ยวกับการปลูกเรือน 4   คน
                                โดยใช้เครื่องมือแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง กล่าวคือ ใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบคำถามปลายเปิด เตรียมคำถามตามวัตถุประสงค์ เพื่อให้เกิดความชัดเจน
                                แบบบันทึกการสัมภาษณ์ โดยการจัดเตรียมเครื่องมือในการบันทึกข้อมูล และกรอกข้อมูลตามการตอบคำถามของชาวบ้านที่ให้ข้อมูล

                4.3 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา
                                แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง เป็นแบบสัมภาษณ์แบบเรียบเรียงคำถามตามวัตถุไปสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูล และปรับเปลี่ยนคำถามเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความชัดเจนของข้อมูล
                                แบบบันทึกการสัมภาษณ์ เป็นแบบบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับผู้ให้สัมภาษณ์ และประเด็นคำถามเกี่ยวกับความคิด ความเชื่อ เรื่องการปลูกบ้านปลูกเรือน ของคนอีสาน

                4.4 ขั้นตอนการดำเนินงาน
                                4.4.1 การลงพื้นที่
                                เนื่องจากหมู่บ้านหนองแวง ตำบลหนองแวง อำเภอกุดรัง จังหวัดมหาสารคามที่ทำการศึกษาเป็นภูมิลำเนาของผู้ศึกษา ดังนั้นเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนและมีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การศึกษาสมาชิกในกลุ่มจึงได้ลงพื้นที่จริง และได้สอบถามข้อมูลอื่นๆ ที่ต้องการกับคนในหมู่บ้านเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อความชัดเจนของประเด็นที่ศึกษา
                                4.4.2 การรวบรวมข้อมูล
                                ก. การเตรียมความพร้อม
                                ก่อนลงพื้นที่เก็บข้อมูล ผู้ศึกษาได้ทำการเลือกใช้เครื่องมือ โดยจะใช้เครื่องมือใดจึงจะมีความเหมาะสมในการเก็บข้อมูล และจะเลือกใช้คำถามใดในการสัมภาษณ์ชาวบ้าน จากนั้นจึงลงพื้นที่โดยเข้าไปพูดคุยกับชาวบ้าน เริ่มที่บ้านของ คุณแม่สุณี ไสวดี ซึ่งเป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้  แล้วจึงเดินทางไปตามบ้านหลังอื่นๆ ที่มีชาวบ้านนั่งชุมนุมพูดคุยกัน
                                ข. การเก็บข้อมูล
                                มีลักษณะการเก็บข้อมูลคือ ใช้การสัมภาษณ์แบบเชิงลึก คือ ใช้แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง
                                4.4.3 วิเคราะห์ข้อมูล
                                การวิเคราะห์ข้อมูลในครั้งนี้ดำเนินการหลังจากที่เก็บข้อมูลมาเรียบร้อยแล้วโดยมีรายระเอียดการดำเนินงานดังนี้
                                1). ศึกษาข้อมูลจากแหล่งอื่น ได้แก่ ลักษณะความเชื่อของคนในชุมชนอีสานในชุมชนอื่นๆ เช่น ความเชื่อเรื่องจักสานของ ชาวบ้านบ้านหนองนกเป็ด ตำบลสระนกแก้ว อำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งมีบางใจความมีความสอดคล้องกันเกี่ยวกับความคิด และความเชื่อ เรื่องโชคลาภผ่านสิ่งจักสาน
                                2.) การยืนยันข้อมูล ผู้ศึกษารวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลทันทีหลังจากลงพื้นที่ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ข้อมูลมีความคลาดเคลื่อน ซึ่งในการวิเคราะห์นั้น
                                3.) ความน่าเชื่อถือของกลุ่มผู้ศึกษา ผู้ศึกษาได้ศึกษาหาข้อมูลล่วงหน้าก่อนลงพื้นที่จริง และนำข้อมูลที่ได้มาสังเคราะห์ และสรุปตามความเป็นจริงให้มากที่สุด
                                4.) การนำผลการศึกษาไปใช้ เนื่องจากการศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพอย่างเดียว ไม่สามารถใช้ได้กับการศึกษาเชิงปริมาณ แต่สามารถนำข้อมูลไปใช้กับกลุ่มชุมชนอื่นในภาคอีสานที่มีบริบทคล้ายคลึงกันได้
4.5 ปัญหาและอุปสรรคที่พบ
                                4.5.1 ปัญหา
                                จากการลงพื้นที่เก็บข้อมูลในบ้านหนองแวง ตำบลหนองแวง อำเภอกุดรัง จังหวัดมหาสารคาม ค่อยข้างไกลจากมหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ดจึงทำให้เสียเวลาในการเดินทางมากพอสมควร
                                4.5.2 อุปสรรค
                                ในการลงพื้นที่นั้นผู้ศึกษาได้ประสบกับสภาพภูมิอากาศที่ร้อนและแดดจัด เพราะเป็นช่วงฤดูร้อน ในเดือนเมษายน ระยะการเดินทางห่างจากมหาวิทยาลัย ประมาณ 113 กิโลเมตรซึ่งไกลจากมหาวิทยาลัยมาก ในการเดินทางนั้นค่อนข้างลำบาก

5. เนื้อหา
                จากการลงพื้นที่บ้านหนองแวง หมู่ที่ 1 ตำบลหนองแวง อำเภอกุดรัง จังหวัดมหาสารคาม สามารถบรรยายผลการศึกษาตามวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้ดังนี้

                5.1 คติการสร้างเรือน “ปลูกเฮือนคนอีสาน”
                                5.1.1. บ้าน เฮือน เรือน
                                ในทางความคิดของคนอีสานนั้น “บ้าน” คือ “หมู่บ้าน” “เฮือน” คือ เรือนเป็นหลัง ๆ การปลูกเฮือนของชาวอีสาน ต้องเตรียมอุปกรณ์และข้อมูลอย่างพิถีพิถัน ได้แก่ ไม้ สถานที่ และวันที่จะปลูกเรือน
                                “หมู่บ้านก็คือบ้าน เฮือน ก็คือ เรือนของใครของมัน เรือนเป็นหลังใครหลังมัน ” (คุณแม่คำมอญ ไชยโคตร: อายุ 57 ปี : 12 เม.ย. 59)
ลักษณะเรือนไทยอีสาน
                                คำว่า บ้า”  กับ เฮือน” (ความ หมายเช่นเดียวกับ เรือน”) สำหรับความเข้าใจของ      ชาวอีสานแล้วจะต่างกัน คำว่า บ้านมักจะหมายถึง หมู่บ้านมิใช่บ้านเป็นหลัง ๆ เช่น บ้านโนนสมบูรณ์ บ้านนาคำแคน หรือบ้านดงมะไฟ เป็นต้น ส่วนคำว่า เฮือนนั้นชาวอีสานหมายถึงเรือนที่เป็นหลัง ๆ
                นอกจากคำว่า เฮือน แล้ว อีสานยังมีสิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะการใช้สอยใกล้เคียงกัน แต่รูปแบบแตกต่างกันไป เช่น คำว่า โฮงหมายถึงที่พักอาศัยใหญ่กว่า เฮือนมักมีหลายห้อง เป็นที่อยู่ของเจ้าเมืองหรือเจ้าครองนครในสมัยโบราณ
                คำว่า คุ้มหมายถึง บริเวณที่มี เฮือนรวมกันอยู่หลาย ๆ หลัง เป็นหมู่อยู่ในละแวกเดียวกัน เช่น คุ้มวัดเหนือ คุ้มวัดใต้ และคุ้มหนองบัว เป็นต้น คำว่า ตูบหมายถึง กระท่อมที่ปลูกไว้เป็นที่พักชั่วคราว มุงด้วยหญ้าหรือใบไม้
                ชาวอีสานมีความเชื่อในการสร้างเรือนให้ด้านกว้างหันไปทางทิศตะวันออกและ ตะวันตก ให้ด้านยาวหันไปทางทิศเหนือและใต้ ซึ่งเป็นลักษณะที่เรียกว่า วางเรือนแบบ ล่องตาเว็น” (ตามตะวัน) เพราะถือกันว่า หากสร้างเรือนให้ ขวางตาเว็นแล้วจะ ขะลำคือเป็นอัปมงคลทำให้ผู้อยู่ไม่มีความสุข
                บริเวณรอบ ๆ เรือนอีสานไม่นิยมทำรั้ว เพราะเป็นสังคมเครือญาติมักทำยุ้งข้าวไว้ใกล้เรือน บางแห่งทำเพิงต่อจากยุ้งข้าว มีเสารับมุงด้วยหญ้าหรือแป้นไม้ เพื่อเป็นที่ติดตั้งครกกระเดื่องไว้ตำข้าว ส่วนใต้ถุนบ้านซึ่งเป็นบริเวณที่มีการใช้สอยมากที่สุด จะมีการตั้งหูกไว้ทอผ้า กี่ทอเสื่อ แคร่ไว้ปั่นด้วย และเลี้ยงลูกหลาน
                นอกจากนั้นแล้ว ใต้ถุนยังใช้เก็บไหหมักปลาร้า และสามารถกั้นเป็นคอกสัตว์เลี้ยง ใช้เก็บเครื่องมือเกษตรกรรม ตลอดจนใช้จอดเกวียน

อย่างไรก็ตามการจัดวางแผงผังของห้องและองค์ประกอบต่าง ๆ ในเรือนไทยอีสานมีดังนี้
                1. เรือนนอนใหญ่ จะ วางด้านจั่วรับทิศตะวันออก-ตะวันตก (ตามตะวัน) ส่วนมากจะมีความยาว 3 ช่วงเสา เรียกว่า เรือนสามห้องใต้ถุนโล่ง ชั้นบนแบ่งออกเป็นสามส่วนคือ
                1.1 ห้องเปิง เป็นห้องนอนของลูกชายมักไม่กั้นห้องด้านหัวนอนมีหิ้งประดิษฐานพระพุทธรูป หรือสิ่งเคารพบูชา เช่น เครื่องราง ของขลัง เป็นต้น
                1.2 ห้องพ่อ-แม่อาจกั้นเป็นห้องหรือบางทีก็ปล่อยโล่ง
1.3 ห้องนอนลูกสาว มีประตูเข้ามีฝากั้นมิดชิดหากมีลูกเขยจะให้นอนในห้องนี้ซึ่ง ชาวอีสานเรียกว่าห้องส่วม
                ส่วนชั้นล่างของเรือนนอนใหญ่ อาจใช้สอยได้อีกกล่าวคือ กั้นเป็นคอกวัวควาย ตั้งแคร่นอนพักผ่อนในตอนกลางวัน และทำหัตถกรรมจักรสานถักทอของสมาชิกในครอบครัวเก็บอุปกรณ์การทำนาทำไร่ เช่น จอบ เสียม คราด ตลอดจนเกวียน เป็นต้น
                2. เกย (ชานโล่งมีหลังคาคลุม) เป็น พื้นที่ลดระดับลงมาจากเรือนนอนใหญ่ มักใช้เป็นที่รับแขก ที่รับประทานอาหาร และใช้เป็นที่หลับนอนของลูกชายและแขกเหรื่อที่กลับมาจากงานบุญในตอนค่ำคืน ส่วนของใต้ถุนจะเตี้ยกว่าปกติ ซึ่งอาจใช้เป็นที่เก็บฟืนหรือสิ่งของที่ไม่ใหญ่โตนัก
                3. เรือนแฝด เป็น เรือนตรงจั่วเช่นเดียวกับเรือนนอน ในกรณีที่พื้นทั้งสองหลังเสมอกันโครงสร้างทั้งคานพื้นและขื่อหลังคาจะฝากไว้ กับเรือนนอน แต่หากเป็นเรือนแฝดลดพื้นลงมามากกว่าเรือนนอนก็มักเสริมเสาเหล็กมารับคานไว้ อีกแถวหนึ่งต่างหาก
                4. เรือนโข่ง มีลักษณะเป็นเรือนทรง จั่วเช่นเดียวกับเรือนนอนใหญ่ แตกต่างจากเรือนแฝดตรงที่ โครงสร้างของเรือนโข่ง จะแยกออกจากเรือนนอนโดยสิ้นเชิง สามารถรื้อถอนออกไปปลูกใหม่ได้โดยไม่กระทบกระเทือนต่อเรือนนอน
การต่อเชื่อมของชายคาทั้งสองหลังใช้รางน้ำ โดยใช้ไม้กระดาน 2 แผ่น ต่อกันเป็นรูปตัววีแล้วอุดด้วยชันผสมขี้เลื่อย ในกรณีที่เรือนไม่มีครัวก็สามารถใช้พื้นที่ส่วนเรือนโข่งนี้ทำครัว ชั่วคราวได้
                5. เรือนไฟ (เรือนครัว) ส่วนมากจะเป็นเรือน 2 ช่วงเสามีจั่วโปร่งเพื่อระบายควันไฟ ฝานิยมใช้ไม้ไผ่สานลายทแยงหรือลายขัด
                6. ชานแดด เป็นบริเวณนอกชานเชื่อมระหว่างเกย เรือนแฝดกับเรือนไฟ มีบันไดขึ้นด้านหน้าเรือน มี ฮ้างแอ่งน้ำ” (ร้านหม้อน้ำ) อยู่ตรงขอบของชานแดด บางเรือนที่มีบันไดขึ้นลงทางด้านหลังจะมี ชานมนลดระดับลงไปเล็กน้อยโดยอยู่ด้านหน้าของเรือนไฟ เพื่อใช้เป็นที่ล้างภาชนะตั้งโอ่งน้ำและวางกระบะปลูกพืชผักสวนครัวต่าง ๆ
                รูปแบบของเรือนไทยอีสาน
                รูปแบบของเรือนไทยอีสานสามารถแบ่งได้ตามประเภทของการพักอาศัย เพื่อตอบสนองประโยชน์ใช้สอยในวาระต่าง ๆ กันดังต่อไปนี้
1. ประเภทชั่วคราว หรือใช้เฉพาะฤดูกาล ได้แก่ เถียงนาหรือเถียงไร่ส่วนใหญ่จะ ยกพื้นสูง เสาเรือนใช้ไม้จริง ส่วนโครงใช้ไม้ไผ่ หลังคามุงหญ้าหรือแป้นไม้ที่รื้อมาจากเรือนเก่า พื้นเป็นไม้ไผ่สับ ในกรณีที่ไร่นาอยู่ไม่ไกลจากเรือนพักสามารถไปกลับได้ภายในวันเดียวจะไม่นิยม กั้นฝา หากต้องค้างคืนก็มักกั้นฝาด้วย แถบตองคือสานไม้ไผ่เป็นตารางขนาบใบต้นเหียงหรือ ใบต้นพวง ซึ่งจะทนทายอยู่ราว 1-2 ปี
2. ประเภทกึ่งถาวร เป็นเรือนขนาดเล็กที่ไม่มั่นคงแข็งแรงนักชาวอีสานเรียกว่า เรือนเหย้าหรือ เฮือนย้าวเป็นการเริ่มต้นชีวิตการครองเรือน และค่อย ๆ เก็บหอมรอมริบไป สู่การมีเรือนถาวรในที่สุด
                ผู้ที่จะมีเรือนเหย้านี้จะเป็นเขยของบ้านที่เริ่มแยกตัวออกไปจากเรือนใหญ่( เรือนพ่อแม่)
เพราะในแง่ความเชื่อของชาวอีสาน เรือนหลังเดียวไม่ควรให้ครอบครัวของพี่น้องอยู่ร่วมกันหลายครอบครัวในบ่า นหลังหนึ่ง ๆ ควรมีเขยเดียวเท่านั้นหากมีเขยมากกว่าหนึ่งคนมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันถือว่า จะเกิด ขะลำหรือสิ่งอัปมงคล
                เรือนประเภทนี้วัสดุก่อสร้างมักไม่พิถีพิถันนัก อาจเป็นแบบ เรือนเครื่องผูกหรือเป็นแบบผสมของ เรือนเครื่องสับก็ได้
                เรือนประเภทกึ่งถาวรนี้สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทคือ
2.1 เรือนเหย้ากึ่งถาวรชนิดตูบต่อเล้าเป็น เรือนที่อิงเข้ากับตัวเล้าข้าว ซึ่งมีอยู่เกือบทุกครัวเรือนมีลักษณะคล้ายเพิงหมาแหงนทั่วไปด้านสูงจะไป อาศัยโครงสร้างของเล้าข้าวเป็น ตัวยึด ต่อหลังคาลาดต่ำลงไปทางด้านข้างของเล้า แล้วใช้เสาไม้จริงตั้งรับเพียง 2-3 ต้น มุงหลังคาด้วยหญ้าหรือสังกะสี ยกพื้นเตี้ย ๆ กั้นฝาแบบชั่วคราว อาศัยกันไปก่อนสักระยะหนึ่ง พอตั้งตัวได้ก็จะย้ายไปปลูกเรือนใหญ่ถาวรอยู่เอง ตรงส่วนที่เป็น ตูบต่อเล้านี้ก็ทิ้งให้เป็นที่นอนเล่นของพ่อแม่ต่อไป
2.2 เรือนเหย้ากึ่งถาวรชนิด ดั้งต่อดินเป็น เรือนพักอาศัยที่แยกตัวออกจากเรือนใหญ่ทำนองเดียวกัน ตูบต่อเล้าแต่จะดูเป็นสัดส่วนมากกว่า ขนาดของพื้นที่ค่อนข้างน้อยกว้างไม่เกิน 2 เมตร ยาวไม่เกิน 5 เมตร นิยมทำ 2 ช่วงเสา คำว่า ดั้งต่อดินเป็นคำเรียกของชาวไทยอีสาน ที่หมายถึง ตัวเสาดั้งจะฝังถึงดินและใช้ไม้ท่อนเดียวตลอดสูงขึ้นไปรับอกไก่
                วิธีสร้าง ดั้งต่อดินมักใช้ผูกโครงสร้างเหมือนกับเรือนเครื่องผูกตัวเสาและเครื่องบนนิยมใช้ไม้ จริงทุบเปลือก หลังคามักมุงด้วยหลังคาทีกรองเป็นตับแล้วเรียกว่า ไฟหญ้าหรือใช้แป้นไม้ที่รื้อมาจากเรือนใหญ่
ฝาเรือนมักใช้ฝาแถบตองโดยใช้ใบกุงหรือใบชาดามาประกบกับไม้ไผ่สานโปร่งเป็น ตาราง หรือทำเป็นฝาไม้ไผ่สับฟากสานลายขัดหรือลายสองทแยงตามแต่สะดวก ส่วนพื้นนิยมใช้พื้นสับฟากหรือใช้แผ่นกระดานปูรอง โดยใช่ไม้ไผ่ผ่าซีกมามัดขนาบกันแผ่นกระดารขยับเลื่อน
2.3 เรือนเหย้ากึ่งถาวรชนิด ดั้งตั้งคานยัง อยู่ในประเภทของเรือนเครื่องผูกมีความแตกต่างจากเรือนดั้งต่อดินตรงที่เสาดั้งต้นกลางจะลงมาพักบนคานของด้านสกัดไม่ต่อลงไป ถึงดิน ส่วนการใช้วัสดุมุงหลังคา ฝาและพื้นเรือนจะใช้เช่นเดียวกับเรือนประเภท ดั้งต่อดิน
3. ประเภทถาวร ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็น เรือนเครื่องสับสังเกตได้จากการเลือกใช้วัสดุ รูปแบบของการก่อสร้างประโยชน์ใช้สอยและความประณีตทางช่าง อาจจำแนกเรือนถาวรได้เป็น 3 ชนิดดังนี้
                3.1 ชนิดเรือนเกย มีลักษณะใต้ถุนสูง หลังคาทรงจั่วเสาใช้ไม้กลม 8 เหลี่ยม หรือเสา 4 เหลี่ยม ตัวเรือนประกอบด้วยเรือนใหญ่ เกย ชานแดด เรือนไฟ และฮ้างแอ่งน้ำ (ร้านหม้อน้ำ)
                3.2 ชนิดเรือนแฝด มีลักษณะใต้ถุนสูงและใช้เสากลมหรือเสาเหลี่ยมเช่นเดียวกัน ตัวเรือนประกอบด้วยเรือนใหญ่ เรือนแฝด เกย ชานแดด เรือนไฟ ฮ้างแอ่งน้ำ
                3.3 ชนิดเรือนโข่ง มี ลักษณะใต้ถุนสูงและใช้เสากลมหรือเสาเหลี่ยม มีจั่วแฝดอยู่ชิดติดกัน ไม่นิยมมีเกย เรือนชนิดนี้ประพกอบด้วย เรือนใหญ่ เรือนโข่ง ชานแดด เรือนไฟ และฮ้างแอ่งน้ำ
                                5.1.2. กว่าจะเป็นเฮือนอยู่เฮือนนอน
                                บ้านเป็นที่อยู่อาศัยประจำ แม้เราจะไปทำงานที่ไหนก็ตามเราจะต้องกลับบ้านแต่ถ้าปลูกบ้านไม่ถูกโฉลกแล้วความทุกข์ความเดือดร้อนก็จะเกิดขึ้นแก่เราเพื่อความเป็นสิริมงคลควรปฏิบัติดังนี้
                การหาวันปลูกเรือน               
                วันอาทิตย์ปลูกเรือนเหมือนไฟสุม มีแต่กลุ้มกลัดอกฟกเป็นหนอง จะเดือดร้อนลำเค็ญ เป็นทำนอง          เหมือนเท้าพองเหยียบไฟไม่เป็นการ        
                ปลูกวันจันทร์นั้นหนาว่าดีแท้ ลาภได้แน่ยิ่งใหญ่ทั้งไพศาล ยศจะเห็นเป็นตัวชั่วกาลนาน ราชการเงินดีเป็นศรีคน
                ปลูกวันอังคารนั้นหนาท่านว่าไว้จะเจ็บไข้ได้ป่วยไม่เป็นผลไฟไหม้เรือนหมองต้องใจคนจะเจ็บตนไม่ดีพาทีทาย                 
                ปลูกวันพุธสุดแสนจะหรรษา ลาภจะมาแน่แท้ไม่ผันผาย จะครองเรือนเป็นสุขสนุกสบาย            ไข้จะหายบิดรมุ่งผดุงใจ
                ปลูกวันพฤหัสบดีจัดว่าดีเลิศ แสนประเสริฐทรัพย์สินสิ้นเจ็บไข     ้มีแต่สุขปราศจากทุกข์ ทั้งโพยภัย มิมาใกล้สุขสันต์จนวันตาย     
                ปลูกวันศุกร์ ทุกข์สุขพอก้ำกึ่ง ไม่หมายถึงลาภเลิศเกิดมากหลาย พอปานกลางไม่ว่าหญิงหรือชาย วันจะหมายสุขเช่นเห็นไม่มี              
                ปลูกวันเสาร์ เร่าร้อนนอนไม่หลับ มีแต่อัปมงคลคนหน่ายหนีโรคจะมาบิดรจะห่างทางไม่ดี ส่วนสถานที่นั้นก็ถือว่าเป็นสำคัญเช่นเดียวกัน ถึงแม้จะมีที่เป็นของตนเองแล้วก็ต้องดูความเหมาะสมด้วย รวมถึงการวางโครงสร้างจะต้องให้แนวของหลังคายาวทอดตามดวงตะวันไม่ขวางดวงตะวัน     
                เมื่อเลือกสถานที่    ทิศทางได้แล้ว เราก็หาวันเดือนปลูกเรือน เวลาสำหรับยกเสาเอก ให้ถูกต้องเสียก่อน การหาเดือนปลูกนั้นตามตำราว่าไว้ดังนี้ ปลูกเรือนในเดือนอ้าย ขอทำนายว่าสุขี      ทรัพย์สินจะมากมี ทั้งเดือนยี่ก็เช่นกัน ลาภยศปรากฏเห็นมิได้เว้นครบสมบูรณ์และสุขสันต์ ชื่อเสียง เรียงอนันต์จะหมายมั่นได้สมปอง ปลูกเรือนในเดือนสาม เหมือนค้าความมีแต่หมองทุกข์ยากลำบากปอง มักจะเกิดภยันตราย ปลูกเดือนสี่นับดีแน่ลาภไม่แชได้สมหมาย           ลาภยศหมดอันตราย ก็หายทรัพย์มากมีปลูกเดือนห้าว่าเป็นทุกข์ไม่สนุกไม่สุขีเดือดร้อนค่อนทวีจะเกิดโรค มาเบียดเบียน ปลูกเดือนหกฝนตกชุก ความผาสุกไม่หันเหียน ลาภยศปรากฏเวียน มิได้เว้นอยู่ทุกวัน ปลูกเดือนเจ็ดช่างเผ็ดร้อนเหมือนคนจรไร้สุขสันต์ทุกข์เข็ญเป็นอนันต์ลาภจะหายมลายไป ปลูกเดือนแปดเหมือนแดดเผา เฉกผีเข้าจิตหวั่นไหว ทรัพย์สินมีเท่าใดอาจจะได้แต่ไม่นาน ปลูกเดือนเก้าเขาว่าเลิศ เร่งปลูกเถิดจะไพศาล กินอยู่แสนสำราญ เขาว่าเลิศประเสริฐดี ปลูกเดือนสิบจะฉิบหาย ทุกข์แทบตายไม่สุขีปลูกเดือนสิบเอ็ดใช่เท็จมีทุกข์ร้อนทั่วตัวนินทา ปลูกเดือนสิบสอง เป็นกองทรัพย์         สุดจะนับไม่ต้องหาอยู่เย็นเห็นทันตา แม้จะค้าก็รุ่งเรือง ทำงานการใด ๆ ย่อมจะได้ให้ ฟุ้งเฟื้อง นิยมทั่วมุมเมือง ชื่อกระเดื่องสถาพร        
วิธีขุดเสา
                เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลท่านว่าควรย้ายแม่ธรณีและทำให้ถูกต้องตามโครงหน้าดินซึ่งควรปฏิบัติดังนี้
                1. การย้ายแม่ธรณี ก่อนจะมีการขุดดินปลูกบ้านให้ย้ายแม่ธรณีและสิ่งของที่เป็น อาถรรพ์ทั้งหลายออกไปก่อนบ้านจึงจะเป็นบ้านอยู่สุขวิธีย้ายให้เอาเทียนเหลือง 1 คู่ ดอกไม้ขาว 1 คู่ แต่งใส่ขันแล้วเอาผ้าขาวพาดบ่า เดินไปตรงกลาง ลานดินที่จะปลูกบ้าน แล้วกล่าวคำอัญเชิญว่า อุกาสะ”  ผู้ข้าขอเชิญแม่ธรณีเจ้า ได้ออกจากที่ปลูกเรือน เพราะที่ปลูกบ้านลูกหลานย่อมทิ้ง สิ่งสกปรกขอแม่ย้ายออกไปสู่ข้างบ้าน  และขอให้แม่ ปกป้องรักษาบ้าน และลูกหลานให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข ส่วนผู้ที่จะประกอบพิธีนี้ จะให้คนแก่ที่มีศีลธรรม (ผู้ชาย) หรือจะเอาผู้ชายเจ้าของบ้านนั้นก็ได้                          
                2. การหลีกพิษนาค ในเดือนที่เราเห็นว่าปลูกบ้านดี เช่น เดือนอ้าย เดือนยี่ เดือนสี่ เดือนหก เดือนเก้า และเดือนสิบสอง ส่วนของนาคอยู่ทิศใดเวลาขุดดินการโกยดินและการวางเสาแฮก-เสาขวัญ จะวางได้ถูกทิศทาง จะได้ไม่รับอันตรายจากพิษนาค                         
                3. พิธีบูชานาค หมอเฒ่าเล่าว่า เพื่อเป็นสิริมงคลต่อบ้าน ท่านใดทำเครื่องเส้นไหว้ พญานาค ซึ่งประกอบด้วย ธูปเทียน และเครื่องบวชต่าง ๆ วิธีทำ
                                3.1 ให้เอาเครื่องโต๊ะไปวางไว้ทิศหัวนาคอยู่แล้วเอาของหวานใส่ เช่น            บวชฟักทอง ใส่ถ้วยวางไว้ในถาด เอาดอกไม้ 5 คู่ธูป 5 คู่ใส่ในถาด แล้วเอาไปวางไว้ที่โต๊ะ
                                3.2 ให้ทำธงใส่หลัก ไปปักข้างโต๊ะเครื่องเซ่นไหว้ทั้ง 2 ข้าง สำหรับผ้าทำธงนั้นให้ใช้ ตาเดือน ดังนี้
                ลักษณะดินที่ไม่ควรปลูก
                1. พื้นที่ดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ท่านว่าไม่ควรปลูกบ้านเพราะเข้าลักษณะโลงผี จะทำให้ เจ็บไข้ได้ป่วย ควรแยกที่นั่นเป็นสวนไม้ดอก ไม้ผล ไปเสียส่วนหนึ่งก่อน แล้วจึงปลูกท่านว่า จะเป็นมงคลแล               
                2. ที่ดินสี่เหลี่ยมยาวรูปธง ท่านว่าไม่ควรปลูกบ้าน ถ้าปลูกควรแก้เคล็ดดังข้อ 1   เสียก่อน จึงปลูกท่านว่าจะเป็นสิริมงคล
                3. อย่าปลูกบ้านกวมตอไม้ ถ้าปลูกก็ควรที่จะขุดออกให้หมดเสียก่อน มิฉะนั้นจะเจ็บไข้ ได้ป่วย ท่านว่ามีภูตผีสิงอาศัยอยู่ในนั้น
                4. อย่าปลูกเฮือนอกแตก คือทำบ้านสองหลังเป็นฝาแฝดแต่ชายคาไม่ต่อกัน จะทำให้ คนในบ้านทะเลาะวิวาทกัน
                5. อย่าปลูกเฮือนหงำเฮือน (ข่มเฮือน) คือทำเฮือนใหญ่ที่เป็นเสาแฮกนั้น ต่ำกว่าเฮือนเล็ก ที่สร้างขึ้นใหม่ โบราณว่าจะยากไร้อนาถา ไม่มีคนยำเกรง มีแต่คนข่มเหงแล
                เสาแฮก-เสาขวัญ
                                โบราณอีสานมีเคล็ดวิธีผูกของเป็นมงคลที่เสาแฮก-เสาขวัญอย่างไร และตอนก่อนจะเสาลงหลุมเอาอะไรผูกเสาแฮก และเอาอะไรผูกเสาขวัญ เสาแฮก คำว่า แฮกเป็นภาษาอีสาน ที่มีความหมายว่า แรก หรือเริ่มแรก หรือหนึ่ง หรือต้นที่หนึ่ง ดังนั้น เสาแฮกตามโบราณอีสาน ก็คือ เสาที่นิยมให้เป็นหนึ่งของบ้าน เสาขวัญ คำว่า ขวัญเป็นได้ทั้งภาษาอิสานและภาษากลาง หมายถึง ต้นเสาที่เป็น มิ่งบ้านขวัญบ้าน โบราณอีสานถือว่าเป็น เสาแม่บ้านตั้งติดอยู่กับเสาแฮกแต่อยู่ในแถวที่สอง เสาแฮกบ้าน อุปมาเหมือนพ่อบ้าน เสาขวัญบ้าน อุปมาเหมือนแม่บ้าน ที่ตั้งของเสาแฮก-เสาขวัญ เพื่อจะได้รู้ว่า เสาแฮกเป็นต้นไหนเสาขวัญต้นไหน จะเสากี่ต้นก็ตามก็ให้เอาเสาต้นที่ 3 แถวที่ 1 ทางหัวนอน นับจากซ้ายไปขวาเป็นเสาแฮก เอาเสาต้นที่ 3 แถวที่      2 เป็นเสาขวัญ นับซ้ายมาขวา โดยผู้นับหันหน้าขึ้นไปทางหัวนอน ของมุงคุลผูกเสาแฮก-เสาขวัญ ผูกเสาแฮก ของที่ใช้ผูกเสาแฮกนอกจากจะปฏิบัติตามพิธีปลูกบ้านตามปี การผูกของ ที่เสาแฮกนั้น ท่านให้เอาต้นกล้วยทะนีออง (กล้วยน้ำว้า) ห้ามกล้วยทะนีใน (ตานีเม็ด) ต้นอ้อย กิ่งคูณ กิ่งยม กิ่งยอ และอักที่มีไหม หรือด้ายผูกไว้ตรงที่เป็นมุงคุล ผูกเสาขวัญ ของที่จะผูกเสาขวัญนั้นโบราณท่านให้เอาเงิน 9 เหรียญ ไซ           หัวหอม และเหมี่ยงหมาก    
                ข้อปฏิบัติก่อนยกเสาลงหลุม
 โบราณอีสานให้ถือปฏิบัติคือตอนหามเสาไปวางปากหลุมนั้นให้หันปลายเสาไปในทางที่เป็นมงคล ดังนี้                                              
                ถ้าจะปลูกเฮือน เดือนอ้าย-ยี่ให้หันปลายเสาไปทางทิศอีสาน เจ้าของบ้านจะอยู่เย็น เป็นสุข  ถ้าจะปลูกเฮือน เดือนสี่-หก ให้หันปลายเสาไปทางทิศอาคเนย์เจ้าของบ้านจะมีโชคแล ถ้าจะปลูกบ้าน เดือนเก้า ให้หันปลายเสาไปทางทิศหรดีจะเกิดความสงบสุขภายในบ้าน ถ้าจะปลูกบ้าน เดือนสิบสอง ให้หันปลายเสาไปทางทิศพายัพจะเกิดความรุ่งเรือง สำหรับเดือนห้า เจ็ด สิบ สิบเอ็ด ไม่แนะนำ เพราะเป็นเดือนห้ามปลูกเรือน
                การตั้งบันไดบ้าน
                บันไดทางขึ้นบ้านเราเลือกทิศทางตั้งไม่ได้ถ้าเลือกได้ควรจะเลือกตั้งในทิศหรดี (ตะวันออก เฉียงใต้) ทิศพายัพ (ตะวันออกเฉียงเหนือ) ทิศอุดร (ทิศเหนือ)      และทิศอีสาน (ตะวันออกเฉียงเหนือ) แต่ถ้าเลือกไม่ได้ ก็หาบันไดสำรองพาดเป็นพิธีในวันขึ้นปีใหม่       และให้ดำเนินการ ขึ้นบ้านใหม่เท่านั้น หมดพิธีแล้วก็รื้อออก (สุวรรณ กลิ่นพงศ์ และวันดี จันทร์ประดิษฐ์. 2552 : 107-109)
                ก่อนปลูกเฮือนก็ต้องดูพื้นที่ก่อน ว่ามันมีหลุมใหญ่ๆ พื้นที่ลาดเอียงไหม บางครั้งก็มีการชิมรสดินด้วย (คุณแม่คำปน สิมคร: อายุ 52 ปี : 12 เม.ย. 59)
                “ก่อนปลูกเรือน จะมีการย้ายแม่ธรณี มีการดูพื้นที่ เลือกพื้นที่ที่เหมาะสม” (คุณแม่ยน รังชะตา: อายุ 55 ปี : 12 เม.ย. 59)
                “เมื่อเราจะปลูกบ้าน เราได้พื้นที่ที่เหมาะสมแล้ว เราก็จะมีพิธีการขุดหลุม มีกาลงเสา เสาแฮก-เสาขวัญ มีการเลือกทิศทางของตัวบ้าน” (คุณแม่สุณี ไสวดี: อายุ 62 ปี : 12 เม.ย. 59)

5.2 ความเชื่อที่เจือจาง
                                คติความเชื่อในการสร้างเรือนยังมีอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่สามารถกล่าวได้ทั้งหมดในที่นี้ นี่คงเป็นเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้คนในสังคมปัจจุบันไม่ค่อยให้ความสนใจ เพราะมองว่าเป็นสิ่งที่ยุ่งยาก เสียเวลาในการดำเนินชีวิตประกอบกับสภาพแวดล้อมทางสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากและเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายต่อวิถีชีวิตของชาวอีสาน เช่น วิถีชีวิตที่ให้ความสำคัญกับเรื่องปากท้องเพื่อความอยู่รอด เป็นผลสืบเนื่องมาจากการพัฒนาเศรษฐกิจสังคม (2504) และนโยบายการพัฒนาของรัฐในแต่ละสมัยที่เป็นเสมือนปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิต สังคมและวัฒนธรรมของชาวอีสานที่หันไปให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตมากกว่าการดำเนินชีวิตที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม สภาพสังคม จารีตประเพณี ให้ความสำคัญต่อค่านิยมสมัยใหม่ที่ส่งผลให้โลกทัศน์ภายในของชาวอีสานเปลี่ยนแปลงไปตามสมัยนิยม และทำให้หลงลืมความเป็นตัวของตัวเองไป ทว่ามีหลายสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่กล่าวมานั้น เรื่องอีสานเป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปที่ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นไปตามสมัยนิยมปัจจุบันเรือนของชาวอีสานมีลักษณะที่หาความเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มคนได้ยาก ซึ่งส่วนใหญ่สร้างแบบง่าย ๆ ไม่เน้นความสำคัญในเรื่องรูปแบบและระเบียบแบบแผนของบ้านนัก เช่น พื้นที่การใช้สอย ประโยชน์และความสำคัญของพื้นที่ภายในบ้าน คติความเชื่อที่เกี่ยวข้อง ลักษณะที่มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม สภาพทางสังคมแบบเดิมเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ลักษณะทางสังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ลักษณะทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป คือ ชาวอีสานสร้างบ้านที่มีรั่วรอบขอบชิด ความสัมพันธ์ต่อสังคมน้อยลง อีกทั้งสภาพเศรษฐกิจและค่านิยมสมัยใหม่เข้ามามีบทบาทต่อการปลูกสร้างเรือนดังนั้นจะเห็นได้จากรูปแบบของเรือน เช่น บ้านชั้นเดียว สองชั้นที่สร้างจากูน บ้านเดี่ยวรูปแบบเรือนแบบฝรั่ง บ้านลักษณะแบบอาคารพานิชย์ ส่วนเรือนตามชนบทจะมีลักษณะเรียบง่าย ๆ บางที่ก็ใช้ผ่านกระดานดีปิดเป็นฝา (นครินทร์  ทาโยธี. เรือนอีสาน คติการสร้างเรือนกับการอนุรักษ์. 2554. อ้างถึง ศรีศักร วัลลิโภดม, 2552 : 144)
                การสร้างเรือนการปรับเปลี่ยนสภาพพื้นที่ที่ไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมธรรมชาติทำให้ได้รับผลกระทบจากสภาวะน้ำท่วมเนื่องจากขอจำกัดของพื้นที่ของชุมชนที่ไม่สามรถขยายตัวไปยังพื้นที่ที่เหมาะสมให้ภาวะสังคมปัจจุบันภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์นั้น คงเป็นเรื่องที่ยากพอสมควรในการเปลี่ยนแปลงทัศนะคติของชาวบ้านให้หันกลับมาสร้างเรือนแบบเดิม อันเนื่องด้วยข้อจำกัดทั้งด้านทรัพยากรป่าไม้ที่ใช้สร้างเรือนหากจะหาซื้อก็มีราคาแพงเกินขีดจำกัดของชาวบ้าน อีกทั้งยังประสบกับปัญหาแรงงานที่ไม่สามารถไหว้วานหรือลงแขกกันได้อย่างในอดีตแล้ว ประกอบกับค่าแรงงานที่สูง ฯลฯ สิ่งที่พอจะทำได้ในขณะนี้คงจะเป็นการอนุรักษ์ในส่วนที่ยังเหลืออยู่ไม่ให้สูญหาย ซึ่งเป็นการยากมาก และการให้ความรู้เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเรือนอีสานในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการศึกษาวิจัยการเผยแพร่ผ่านการเรียนการสอนนิทรรศการการถ่ายทอดองค์ความรู้ นับว่าเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้ชาวบ้านเกิดความรัก หวงแหนสำนึกในคุณค่าของเรือนอีสานในมิติต่าง ๆ ไม่ให้สูญหายไปจากสังคมอีสานและให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้ต่อไป
 6. สรุปและอภิปรายผล
                จากการศึกษาเรื่อง คติการสร้างเรือน ปลูกเฮือนคนอีสาน โดยมีวัตถุประสงค์การศึกษา เพื่อศึกษาความคิด ความเชื่อ เรื่องปลูกบ้านปลูกเรือน ของคนชาวอีสาน อีสาน ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
                6.1 สรุปผล
                                ความคิด ความเชื่อ เรื่องปลูกบ้านปลูกเรือน ของคนชาวอีสาน จากการศึกษาพบว่า
คนชาวอีสานแต่ก่อนเคร่งในความเชื่อ และเคร่งในการปฏิบัติ ก่อนการปลูกเรือนมีการศึกษาลักษณะของบริบทรอบ ๆ ของพื้นที่ เลือกสถานที่ที่ปลอดโปร่ง ไม่มีหลุด ไม่มีบ่อ ไม่มีจองปลวก ไม่มีหลุมผี นอกจากนี้ในการพิจารณาพื้นที่สร้างเรือน การชิมรสดิน ดินที่เหมาะสมที่สุด คือ ดินรสจืด และดินที่มีกลิ่นหอม ทว่าชาวอีสานยังให้ความสำคัญกับฤกษ์ยามในการสร้างเรือน ความเชื่อในการเสือเสาเรือน โดยเฉพาะเสาแฮก (เสาเอก) เสาขวัญ (เสาโท) การเลือกไม้ทำส่วนประกอบเรือน เพื่อความเป็นมงคลแก่ชีวิต แต่ทว่าปัจจุบันคติความเชื่อเหล่านี้กำลังจะเลือนหายไปจากผู้คนชาวอีสานเพื่อปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมไปถึงเศรษฐกิจ ค่านิยมสมัยใหม่เข้ามา

                6.2 อภิปรายผล
                ความคิด ความเชื่อ เรื่องปลูกบ้านปลูกเรือน ของคนชาวอีสาน สอดคล้องกับแนวคิดเกี่ยวกับ ความเชื่อ ของ ฐาปณี เรียบเรียง ที่กล่าวว่า “ความเชื่อเกิดจากมนุษย์มีส่วนสัมพันธ์กับธรรมชาติ เมื่อธรรมชาติได้ทำลายชีวิตและทรัพย์สิน ทำให้มนุษย์เกิดความคิดว่าในธรรมชาตินั้นต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลังที่สามารถบันดาล ทั้งคุณและโทษแก่ตนได้ แต่ไม่สามารถจะหาเหตุผลมาอธิบายแนวคิดนี้ได้ มนุษย์จึงได้จิตนาการต่างๆ นานา และพยายามหาเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจ”
                                จากการศึกษา ทำให้ผู้ศึกษาพบว่ามีนักวิจัยหลายท่านที่ได้ทำการศึกษาเกี่ยวความคิด ความเชื่อ เรื่องปลูกบ้านปลูกเรือน ของคนชาวอีสาน แต่ไม่ได้ผ่านทางบ้านเรือนโดยตรง แต่ใช้วิธีการศึกษาผ่านสิ่งอื่นๆ เช่น พิธีกรรม โชคราง เป็นต้น ทั้งนี้แล้วถ้าได้มีการทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องความคิด ความเชื่อ เรื่องเรื่องปลูกบ้านปลูกเรือน ของคนชาวอีสาน ผ่านบ้านเรือนของคนอีสาน และคนอีสานผู้มีความเชื่อและศรัทธาจริง ๆ ก็จะมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานหรือส่วนช่วยสนับสนุนฐานข้อมูลที่ดีในการศึกษาครั้งต่อๆไป

บรรณานุกรม

___________________. (2549).  การศึกษา การปรับใช้พิธีกรรม และความเชื่อของชุมชน ในการจัดการป่าชุมชน กรณีศึกษา ป่าชุมชนบ้านตลาดขี้เหล็ก ตำบลแม่โป่ง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่. อ้างถึงใน ฐาปณี เรียบเรียง.
กฤษฎา ศรีธรรมา. (2552). ภูมิปัญญาท้องถิ่นอีสาน   (Local Wisdom of Northeastern Thai People). มหาสารคาม : คณะ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด.
ครูใหญ่. เฮือนอีสาน.  นามแฝง.  วารสารวิชาการ. ฉบับเฉลิมพระเกียรติ  75 พรรษามหา ราชา ; มกราคม  2546.
คลังเอกสารสาธารณะ.  (2552).  เรือนไทยภาค. อีสาน. ค้นเมื่อ 18 เมษายน 2559, จาก http://www.openbase.in.th/node/10814
งามพิศ สัตย์สงวน. (2543). หลักมานุษยวิทยา วัฒนธรรม. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : รามาการพิมพ์.
จารุวรรณ ธรรมวัตร. (2530). ขนบธรรมเนียม ประเพณี ของอีสาน. กรุงเทพฯ :   โครงการไทยศึกษา ฝ่ายวิชาการ   จุฬาลงกรณ์           มหาวิทยาลัย.
เจด็จ  คชฤทธิ์.  เฮือนพื้นบ้านอีสาน-สถาปัตยกรรม พุทธศาสนาพื้นถิ่น สายวัฒนธรรมไทย- ลาว ในดินแดนอีสาน.  วารสารวลัย อลงกรณ์, 3 (1) :  73-86 ; มกราคม- มิถุนายน 2551. 
นครินทร์ ทาโยธิ. “เฮือนอีสาน” คติการสร้างเรือกับ การอนุรักษ์.  วรสารจดหมายข่าว สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.  2554(1) : 8-9
นภดล ตั้งสกุล และจันทนีย์ วงศ์คำ.  (2548).  คติ ความเชื่อและระบบสังคมกับการปลูก เรือนพื้นบ้านและชุมชนภูไท.  ขอนแก่น : ศูนย์วิจัยพหุลักษณ์สังคมลุ่มน้ำโขง มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
ผาสุก มุทธเมธา. (2535). คติชาวบ้านกับการพัฒนา คุณภาพชีวิต. กรุงเทพฯ : โอ.เอส.พริ้นติ้ง เฮ้าส์.
วิโรฒ  ศรีสุโร.  รำลึกครูเปลี่ยน  ศรีสุโร. ณ   ฌาปนกิจสถาน  วัดบึงทางหลาง ซอย ลาดพร้าว  101  แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร  วันอังคาร 3 กรกฎาคม 2544. ขอนแกน : โรงพิมพ์ คลังนานาวทยา. 2544.
ส.ธรรมภักดี. (มปพ.). ประเพณีอีสาน. – กรุงเทพฯ :   (มปรพ.).
สมชาย นิลอาธิ. เรือนอีสานและประเพณีการอยู่ อาศัย.  ศิลปวัฒนธรรม, ปีที่ 9 ฉบับที่ 2 : ธันวาคม  2530.
ศรีศักร  วัลลิโภดม.  บ้านไทยเรือนไทย. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ. 2552.
อนุวิทย์ เจริญศุกกุล  และวิวัฒน์ เตมียพันธ์.(2521).   เรือนลานนาไทยและประเพณีการปลูก เรือน. กรุงเทพฯ : อักษรสัมพันธ์.
Broom Leonard and Philip Selznick (1963).   Sociology. New York : Harper and Row   Publishers.


กิตติกรรมประกาศ
                การศึกศึกษาความคิด ความเชื่อ เรื่องปลูกบ้านปลูกเรือน ของคนชาวอีสานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีเพราะความร่วมมือของบุคคลดังต่อไปนี้
1.) ผู้ให้สัมภาษณ์ชื่อ นางสุณี ไสวดี อายุ 62 ปี อาชีพ -   บ้านเลขที่ 114 บ้านหนองแวง หมู่ที่ 1 ตำบลหนองแวง อำเภอกุดรัง จังหวัดมหาสารคาม
  สถานที่สัมภาษณ์  บ้าน บทบาททางสังคม ชาวบ้าน   สัมภาษณ์ 12 เมษายน พ.ศ. 2558
2.) ผู้ให้สัมภาษณ์ชื่อ นางคำมอญ ไชยโคตร อายุ 57 ปี  อาชีพ - บ้านเลขที่ 62 บ้านหนองแวง หมู่ที่ 1 ตำบลหนองแวง อำเภอกุดรัง จังหวัดมหาสารคาม
สถานที่สัมภาษณ์  บ้าน   บทบาททางสังคม ชาวบ้าน   สัมภาษณ์ 12 เมษายน พ.ศ. 2558
3.) ผู้ให้สัมภาษณ์ชื่อ นางคำปน สิมคร อายุ 52 ปี   อาชีพ ชาวนา  บ้านเลขที่ 95 บ้านหนองแวง หมู่ที่ 1 ตำบลหนองแวง อำเภอกุดรัง จังหวัดมหาสารคาม
สถานที่สัมภาษณ์  บ้าน   บทบาททางสังคม ชาวบ้าน   สัมภาษณ์ 12 เมษายน พ.ศ. 2558
4.) ผู้ให้สัมภาษณ์ชื่อ นางยน รังชะตา   อายุ 55 ปี อาชีพ ชาวนา บ้านเลขที่ 64 บ้านหนองแวง หมู่ที่ 1 ตำบลหนองแวง อำเภอกุดรัง จังหวัดมหาสารคาม
สถานที่สัมภาษณ์  บ้าน   บทบาททางสังคม ชาวบ้าน   สัมภาษณ์ 12 เมษายน พ.ศ. 2558





ความคิดเห็น

  1. ขอบคุณครับที่ทำข้อมูลดีดี เพื่อการศึกษาต่อๆให้รุ่นหลังๆได้รับรู้ข้อมูลของผู้คนโบราณ

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น